รีวิว หูฟังไร้สายรุ่นใหม่ล่าสุดจาก Xiaomi โดยรอบนี้มีมาสองรุ่นทั้ง Buds 5 และ Open Wear Stereo ที่แม้ว่าดีไซน์ดีไซน์จากต่างกัน แต่เรื่องคุณภาพเสียง และความสบายในการสวมใส่กินกันไม่ลงแน่นอน
สเปค Xiaomi Buds 5
- สีที่วางจำหน่าย Ceramic White / Graphite Black / Titan Gray
- ตอบสนองช่วงความถี่เสียง: 16Hz-40kHz
- ขนาด / น้ำหนัก
- หูฟังแต่ละข้าง: 30 x 20.16 x 17.18 mm หนัก 4.2 กรัม
- เคสชาร์จ: 53.9 x 53.2 x 24.5 mm หนัก 36.6 กรัม
- น้ำหนักรวม 45 กรัม
- แบตเตอรี่
- หูฟัง: 35mAh
- เคสชาร์จ: 480mAh
- พอร์ตชาร์จ: Type-C
- อายุการใช้งานร่วมกับเคส 39 ชั่วโมง
- การเชื่อมต่อ
- Bluetooth 5.4
- โปรโตคอล Bluetooth: Bluetooth Low Energy / HFP / A2DP / AVRCP
แกะกล่อง+ดีไซน์ Xiaomi Buds 5
แพ็คเกจ Xiaomi Buds 5 เป็นกล่องกระดาษสี่เหลี่ยมสีขาว ขนาดมาตรฐาน มีรูปผลิตภัณฑ์, ชื่อรุ่น และ สเปคไฮไลท์ ระบุอยู่บนตัวกล่อง ขณะที่ภายในก็มีทั้ง หูฟัง+เคสชาร์จ, สายชาร์จ USB-C แบบสั้น และคู่มือการใช้งานเบื้องต้น
Xiaomi Buds 5 ที่เราได้มาเป็นสี Titan Gray ตัวหูฟังและเคสถูกดีไซน์มาอย่างหรูหรา ด้วยรูปทรงที่โค้งมนแบบ Halo Design ผสมผิวสัมผัสแบบด้านตัดกับส่วนที่เป็นผิวสัมผัสเคลือบเงาเมทัลลิกได้แบบลงตัว แล้วยิ่งเป็นสีเงินก็ยิ่งชวนให้นึกถึงการออกแบบสินค้าในช่วงยุค 2000
ตัวเคสชาร์จเป็นตลับสีเหลี่ยมโค้งมนไร้เหลี่ยมมุม มีไฟ LED แสดงสถานะการทำงานอยู่ด้านหน้าๅ ใต้เคสมีพอร์ตชาร์จ USB-C กับปุ่ม Reset การเชื่อมจับคู่ ส่วนที่เป็นฝาตลับจะเป็นวัสดุผิวเคลือบเงามีโลโก้ Xiaomi อยู่ด้านหน้า ขณะที่ด้านหลังแถวบานพับเป็นโลโก้ของ Harman ซึ่งข้อดีของพื้นผิวลักษณะนี้คือความสวยงามที่ทำให้เคสชาร์จดูโดดเด่น แต่ข้อเสียก็แน่นอนว่าจะติดรอยนิ้วมือได้ง่าย
เมื่อเปิดเคสขึ้นมาก็จะพบกับหูฟังโดยดีไซน์การสวมใส่แบบ Semi in-ear แม้จะโค้งมนแต่ก็มีการออกแบบตามหลักการยศาสตร์ให้รองรับกับลักษณะหูที่หลากหลาย
หูฟังแต่ละข้างมีน้ำหนักเพียง 4.2 กรัม มีการพัฒนาเรื่องอัตราการกระจายน้ำหนักทำให้กระชับกับช่องหูและสวมใส่ได้นานโดยไม่รู้สึกเทอะทะ โดยที่หูฟังมาพร้อมมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่นระดับ IP54
การใช้งาน Xiaomi Buds 5
Xiaomi Buds 5 รองรับการจับคู่ทั้งกับอุปกรณ์ที่เป็น Android และ iOS โดยจับคู่ผ่านแอปพลิเคชั่น Xiaomi Earbuds และมีฟีเจอร์ Fast Pair เมื่อจับคู่กับอุปกรณ์ Android 6.0 ขึ้นไป
หูฟังรองรับการเชื่อมต่อไร้สายผ่าน Bluetooth 5.4 และรองรับการใช้งานต่อการชาร์จ 1 ครั้งที่ 6.5 ชั่วโมง ซึ่งเมื่อใช้งานร่วมกับเคสจะอยู่ได้นานสูงสุดถึง 39 ชั่วโมง เมื่อรวมกับดีไซน์ที่สวมใส่สบายก็สามารถใช้เป็นหูฟังคู่ใจเวลาเดินทางไกลได้สบายๆ
ด้านคุณภาพเสียงตัวหูฟังมาพร้อมไดร์เวอร์ไดนามิกแบบแม่เหล็กคู่ 11 มม. และยังได้รับการปรับแต่งเสียงจาก Harman AudioEFX ช่วยให้เสียงมีคุณภาพสูง เบสหนักแน่น มีเวทีเสียงที่กว้าง รวมถึงยกระดับย่านเสียงแหลมด้วยการเคลือบเสริมพอลิเมอร์สีดำเพื่อให้ประสิทธิภาพเสียงมีความสมดุลมากยิ่งขึ้น
ในแอปหูฟังจะมีการตั้งค่า Audio Balance เป็น Harman AudioEFX แต่ถ้ายังไม่ถูกใจก็มี Preset เสียง ให้เลือกกับอีก 4 แบบ รวมถึงส่วน Custom สำหรับการปรับแต่ง EQ ด้วยตนเอง
หูฟัง Xiaomi Buds 5 สนับสนุนการแปลงสัญญาณ Qualcomm aptX Lossless Audio พร้อมเสียง Lossless HD 16bit/44.1kHz ทำให้เสียงที่ออกมามีความเที่ยงตรงตามต้นฉบับ โดยมีอัตราการส่งสัญญาณสูงสุด 1.2Mbps
สำหรับสายดูหนัง เล่นเกม หูฟังรุ่นนี้รองรับระบบเสียงรอบทิศทางแบบ Spatial Audio มีฟีเจอร์ Immersive sound ช่วยยกระดับเสียงให้สมจริงโดย decode เสียงออกมาเป็น 3 มิติ พร้อมทั้งมี Track head movement ซึ่งจะติดตามการขยับศีรษะของผู้ใช้ โดยเสียงที่ออกจากหูฟังก็จะมีการแสดงทิศทางของเสียงตามการหันของศีรษะ
ตัวหูฟังมีระบบตัดเสียงรบกวน Adaptive noise cancellation ซึ่งสามารถปรับระดับการตัดเสียงรบกวนได้ 2 ระดับ ขณะที่การสื่อสารก็คมชัดเนื่องจากหูฟังมากับไมค์ 3 ตัว พร้อมระบบ AI ในการตัดเสียงรบกวนรอบข้างขณะสนทนา และลดเสียงลมที่แรงถึง 12 เมตร/วินาที
นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์สำหรับคนทำคอนเทนท์อย่างการใช้หูฟังแทนไมค์สำหรับบันทึกเสียงได้ โดยรองรับการอัดเสียงได้นานสูงสุดถึง 3 ชั่วโมง สามารถแยกการบันทึกเสียงระหว่างหูฟังแต่ละข้างได้
ส่วนการสั่งงานหูฟังจะเป็นการบีบเบาๆ บริเวณก้านซึ่งสามารถปรับแต่งให้เหมาะกับการใช้งานของแต่ละคนได้ และเมื่อใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ที่เป็น Xiaomi HyperOS ก็จะสามารถใช้งานบีบก้านหูฟังเพื่อสั่งถ่ายภาพหรือวีดีโอจากระยะไกลได้ด้วย
สเปค Xiaomi Open Wear Stereo
- สีที่วางจำหน่าย Cosmic Gray / Sandstone Beige
- ตอบสนองช่วงความถี่เสียง: 20Hz-40kHz
- ขนาด / น้ำหนัก
- หูฟังแต่ละข้าง: 54.24 x 39.3 x 13.79 mm หนัก 9.6 กรัม
- เคสชาร์จ: 105.8 x 55.4 x 26.1 mm หนัก 68.78 กรัม
- น้ำหนักรวม 88 กรัม
- แบตเตอรี่
- หูฟัง: 60mAh
- เคสชาร์จ: 780mAh
- พอร์ตชาร์จ: Type-C
- อายุการใช้งานต่อการชาร์จ 1 ครั้ง 7.5 ชั่วโมง
- อายุการใช้งานร่วมกับเคส 38.5 ชั่วโมง
- การเชื่อมต่อ
- Bluetooth 5.3
- โปรโตคอล Bluetooth: Bluetooth Low Energy / HFP / A2DP / AVRCP
- อิมพีแดนซ์ของลำโพง: 16Ω
แกะกล่อง+ดีไซน์ Xiaomi Open Wear Stereo
แพ็คเกจ Xiaomi Open Wear Stereo เป็นกล่องกระดาษสี่เหลี่ยมสีขาว มีรูปผลิตภัณฑ์, ชื่อรุ่น และ สเปคไฮไลท์ ระบุอยู่บนตัวกล่อง
เมื่อเปิดกล่องออกมาก็จะพบกับการ์ดแนะนำการใช้งานหูฟังครั้งแรก ส่วนอุปกรณภายในก็มีทั้ง หูฟัง+เคสชาร์จ, สายชาร์จ USB-C แบบสั้น และคู่มือการใช้งานเบื้องต้น
Xiaomi Open Wear Stereo ที่อยู่ในมือเราตอนนี้เป็นสี Cosmic Gray สีเทา คมเข้ม จุดเด่นของหูฟังรุ่นนี้คือการออกแบบตัวหูฟังให้เป็นแบบ Open Ear ที่ตัวหูฟังจะมีก้านเพื่อคล้องเกี่ยวกับใบหูทำให้แน่นกระชับสามารถใส่ทำกิจกรรมต่างๆ ได้โดยไม่หลุด
ก้านหูฟังใช้วัสดุซิลิโคนเหลวเนื้อนุ่มทำให้เป็นมิตรต่อผิว ด้านในก้านเป็นลวดอัลลอยนิกเกิลไทเทเนียมที่มีความยืดหยุ่นผ่านการทดสอบบิดงอกว่า 5,000 ครั้ง การันตีเรื่องความทนทาน
ขณะที่ตัวหูฟังเองหนักแค่ 9.6 กรัม ส่วนที่เป็นตัวหูฟังผิวด้านนอกเคลือบเงาเมทัลลิก โดยที่หูฟังมาพร้อมมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP54
เคสหูฟังเป็นตลับทรงแคปซูลผิวสัมผัสแบบ Anti-Slip มีโลโก้ Xiaomi อยู่ด้านบน ซึ่งพื้นผิวแบบนี้ทำให้เคสทนต่อรอยขีดข่วนจับแน่นติดมือไม่ลื่นหลุดทำหล่นง่ายๆ โดยที่บริเวณด้านหน้าของเคสจะมีไฟ LED แสดงสถานะการใช้งาน ด้านหลังเป็นพอร์ต USB-C และเมื่อเปิดตลับออกมาจะพบกับช่องเก็บหูฟังและปุ่ม Reset การเชื่อมต่ออยู่ตรงกลาง
การใช้งาน Xiaomi Open Wear Stereo
Xiaomi Open Wear Stereo ขับเคลื่อนด้วย HyperOS รองรับการเชื่อมต่อไร้สายผ่าน Bluetooth 5.3 สามารถทำงานร่วมกันได้ทั้งกับอุปกรณ์ที่เป็น Android และ iOS โดยจับคู่ผ่านแอปพลิเคชั่น Xiaomi Earbuds และมีฟีเจอร์ Fast Pair เมื่อจับคู่กับอุปกรณ์ Android 6.0 ขึ้นไป
เรื่องอายุการใช้งานขอหูฟังรุ่นนี้ถือว่าหายห่วงเฉพาะหูฟังอย่างเดียวอยู่ได้นานสูงสุด 7.5 ชั่วโมง และเมื่อทำงานร่วมกับเคสจะอยู่ได้นานสูงสุด 38.5 ชั่วโมง เรียกว่าอยู่ได้ข้ามวัน ข้ามคืน
หูฟังรองรับการสั่งการผ่านระบบสัมผัสบริเวณแป้นหูฟัง โดยที่ผู้ใช้สามารถตั้งค่าการทำงานให้เหมาะกับตนเองได้ผ่านแอป และสำหรับใครที่ใช้อุปกรณ์ของ Xiaomi หูฟังรุ่นนี้ก็มีฟีเจอร์แบ่งปันเสียง ทำให้ต่อหูฟังเอียร์บัดสองคู่เพื่อฟังเพลงหรือดูหนังจากสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตของ Xiaomi พร้อมกันได้ ซึ่งปัจจุบันฟีเจอร์นี้รองรับกับ Xiaomi 14 Ultra, Xiaomi 14, Xiaomi 13 Ultra, Xiaomi 13 Pro, Xiaomi 13, Xiaomi 12 Pro, Xiaomi 12 และ Xiaomi Pad 6S Pro 12.4
สำหรับคุณภาพเสียง Open Wear Stereo มีลำโพงซูเปอร์ลิเนียร์ 17×12 มม. ไดอะแฟรม DLC (Diamond-Like Carbon) มีอัลกอริทึมเสริมคุณภาพเสียงในย่านเบส และมีการควบคุมเรนจ์เสียงแบบไดนามิก รองรับการแปลงสัญญานเสียงความละเอียดสูง LHDC ได้ถึง 96kHz และยังผ่านมาตรฐานระดับทองใบรับรอง Hi-Res Audio Wireless
หูฟังรุ่นนี้มีระบบตัดเสียงรบกวนให้ใช้งาน รวมถึงมี Adaptive volume ฟีเจอร์การปรับระดับเสียงให้ดังขึ้นหรือเบาลงตามเสียงของสภาพแวดล้อม แต่ก็น่าเสียดายที่ในแอปหูฟังจะมีการตั้งค่า Audio Balance ไว้ 3 แบบเท่านั้น แถมยังไม่สามารถปรับ EQ เองได้
เรื่องความเป็นส่วนตัวในการใช้งาน Xiaomi Open Wear Stereo แม้จะเป็น Open Ear แต่ก็ไม่ต้องกลัวว่าคนข้างๆ จะได้ยินว่าเรากำลังฟังอะไรอยู่ เนื่องจากมีการออกแบบโครงสร้างไดรเวอร์แบบไดนามิกที่ช่วยลดการรั่วไหลของเสียง ทำงานร่วมกับไดรเวอร์ลดเสียงรั่วขนาด 10 มม. โดยที่ไดรเวอร์ตัวนี้จะทำงานโดยปล่อยคลื่นเสียง Antiphase เพื่อยกระดับความเป็นส่วนตัวของสายสนทนาซึ่งช่วยเก็บเสียงไม่ให้รั่วไหลเกินระยะ 25 ซม.
เรื่องการสื่อสาร Xiaomi Open Wear Stereo ใช้โครงสร้างอาร์เรย์ไมโครโฟนสองตัวทำงานร่วมกับอัลกอริทึม Beamforming ช่วยในการจับเสียงสนทนาของผู้ใช้ให้คมชัด
สรุป+ราคา
หูฟังทั้งสองรุ่นถือว่ามีความโดดเด่นกันคนละด้าน โดยที่ Xiaomi Buds 5 จะเด่นด้านคุณภาพเสียงที่ผ่านการปรับแต่งโดย Harman AudioEFX รองรับ Qualcomm aptX Lossless Audio มีระบบเสียงรอบทิศทาง Spatial Audio ทำให้ได้อรรถรสเวลาฟังเพลง, ดูหนัง หรือเล่นเกม
เรื่องความแน่นติดหูส่วนตัวจากที่ทดสอบใช้งานยังไม่พบปัญหาหูฟังหลุดง่ายแม้จะขยับร่างกายหรือศีรษะไว ๆ ขณะที่การตัดเสียงรบกวนถือว่าทำได้ดีสมราคา มีเวทีเสียงที่กว้าง ย่านเบสฟังกำลังเพราะไม่กระแทกหู
สำหรับ Xiaomi Open Wear Stero ด้วยรูปแบบการสวมใส่แบบ On ear มีก้านเกี่ยวใบหู ทำให้เหมาะแก่การใส่ทำกิจกรรมที่ต้องมีการเคลื่อนไหวหนักๆ และส่วนตัวค่อนข้างชอบดีไซน์ของเคสที่ถึงแม้ว่าจะใหญ่ แต่พื้นผิวที่เป็นแบบ Anti-Slip ก็ทำให้รู้สึกมั่นใจในการใช้งานสามารถโยนใส่กระเป๋าได้เลยโดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีรอยขีดข่วนบนเคส
ทั้งนี้ก็มีข้อสังเกตจากที่ทดสอบใช้งานมา เนื่องผู้เขียนเป็นคนที่ใบหูใหญ่เวลาที่เกี่ยวหูฟังส่วนที่เป็นลำโพงของหูฟังก็จะลอยขึ้นมาเลยส่วนที่เป็นรูหู ทำให้รู้สึกว่ายังไม่ได้สัมผัสประสบการณ์เสียงที่หูฟังรุ่นนี้มีอย่างเต็มที่ แถมคุณสมบัติการตัดเสียงรบกวนก็ดูจะทำงานได้ไม่เต็มที่เท่าที่ควร เมื่อเทียบกับคนที่มีช่วงใบหูเล็กกว่าซึ่งส่วนที่เป็นลำโพงหูฟังจะอยู่บริเวณรูหูพอดี
หูฟัง Xiaomi ทั้งสองรุ่นสามารถจับจองเป็นเจ้าของได้แล้ววันนี้
- Xiaomi Buds 5 มีวางจำหน่ายสี Ceramic White, Graphite Black และ Titan Gray สนนราคาที่ 3,290 บาท
- Xiaomi Open Wear Stero มีวางจำหน่ายสี Cosmic Gray และ Sandstone Beige สนนราคาที่ 4,590 บาท