ในวงการเทคโนโลยีมีบริษัทเพียงไม่กี่แห่งที่พัฒนา โมเด็ม 5G ของตัวเอง และ Apple คือหนึ่งในนั้น หลังนำโมเด็มรุ่นแรกที่ชื่อว่า Apple C1 มาติดตั้งใน iPhone 16e โดยที่ Apple เน้นย้ำว่าโมเด็มนี้มีจุดเด่นด้านการประหยัดพลังงาน แต่ก็ยังมีข้อจำกัดที่ทำให้ไม่สามารถใช้งานใน iPhone รุ่นพรีเมียมได้
รายงานล่าสุด Ming-Chi Kuo เผยว่า Apple กำลังพัฒนาโมเด็ม “C1 รุ่นปรับปรุง” สำหรับปีหน้า ซึ่งจะแก้ไขข้อจำกัดที่สำคัญที่สุด นั่นคือ การขาดการรองรับเทคโนโลยี mmWave
โมเด็ม C1 ปัจจุบันรองรับเฉพาะ 5G แบบ sub-6GHz เท่านั้น โดยประกอบด้วยชิปเบสแบนด์ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี 4nm หรือ 5nm, ตัวรับส่งสัญญาณความถี่ต่ำขนาด 7nm, ตัวรับส่งสัญญาณความถี่กลางขนาด 7nm และวงจรจัดการพลังงาน (PMIC) ขนาด 55nm
Kuo ระบุว่า Apple ไม่น่าจะเปลี่ยนชิปเบสแบนด์ไปใช้เทคโนโลยี 3nm ในรุ่นถัดไป เนื่องจากชิปเบสแบนด์ไม่ใช่ส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในโมเด็ม 5G ทำให้ไม่เกิดประโยชน์มากนักจากการเปลี่ยนแปลงนี้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ Apple จะทำคือเพิ่มตัวรับส่งสัญญาณ mmWave และส่วนประกอบด้านหน้า (ผลิตด้วยเทคโนโลยี 28nm) เพื่อให้โมเด็มสามารถรองรับความเร็ว 5G ที่สูงที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีโครงข่าย mmWave ซึ่ง Kuo ชี้ว่าการทำให้ mmWave ทำงานได้ไม่ใช่เรื่องยาก แต่การสร้างโมเด็ม mmWave ที่ทั้งเสถียรและประหยัดพลังงานนั้นเป็นความท้าทาย
ก่อนหน้านี้ Kuo เคยรายงานว่า iPhone 17 Air จะใช้ชิป C1 พร้อมกับชิป Wi-Fi ที่พัฒนาโดย Apple เอง อย่างไรก็ตาม iPhone 17 รุ่นอื่นๆ จะยังคงใช้โมเด็ม 5G ของ Qualcomm ต่อไป แต่จะเปลี่ยนมาใช้ชิป Wi-Fi ของ Apple แทนชิปจาก Broadcom ที่เคยใช้มาก่อน
ยังไม่ชัดเจนว่าสาเหตุที่โมเด็ม C1 ไม่ถูกนำมาใช้ใน iPhone 17 ส่วนใหญ่เกิดจากข้อตกลงที่มีมาก่อนหน้ากับ Qualcomm หรือเพราะข้อจำกัดด้าน mmWave แต่มีความเป็นไปได้สูงที่ iPhone 18 ในปีถัดไป จะเริ่มใช้โมเด็ม C1 รุ่นปรับปรุงนี้มากขึ้น ส่วนโมเด็มรุ่นต่อไปอย่าง Apple C2 นั้น ยังไม่มีข้อมูลในตอนนี้
Apple ยืนยัน! โมเด็ม C1 ไม่ใช่ต้นเหตุทำ iPhone 16e ไร้ MagSafe
Apple เตรียมผสานโมเด็มในชิปเซ็ตหลัก แต่จะยังไม่เห็นกันในเร็วๆ นี้
