จากการที่ LINE Mobile ได้เตรียมที่จะเปิดให้บริการในบ้านเราเร็วๆ นี้ หลายคนก็คงจะพอได้ทราบข้อมูลหรือแม้แต่วิธีการสั่งซื้อซิมกันไปแล้ว ซึ่งจุดเด่นหลักๆ ของ LINE Mobile นั่นคือ การใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็ว 256 Kbps ฟรี การส่ง SMS ฟรีไม่จำกัดจำนวนครั้ง และใช้งานแอพ LINE Messenger ได้แบบไม่จำกัดความเร็วเน็ต ทำให้หลายคนที่ได้ทราบข่าวต่างก็อยากสัมผัสของจริงกันพอสมควร
และสำหรับวันนี้เราจะพามารู้จักกับหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ขาดไม่ได้ นั่นคือแอพพลิเคชั่น LINE Mobile สำหรับผู้ใช้บริการ LINE Mobile ให้สามารถจัดการรูปแบบการใช้งานทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง ตอบสนองกับไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้งานคนรุ่นใหม่ โดยแอพฯ มีให้ดาวน์โหลดทั้งระบบปฏิบัติการ iOS และ Android แต่การ Log in เข้าสู่ระบบได้ต้องทำผ่านซิมของ LINE Mobile เท่านั้น (สามารถใช้งานแอพฯ ผ่าน Wi-Fi ได้ แต่จะทำได้หลังจากการเข้าสู่ระบบครั้งแรกผ่านซิมแล้ว)
ลิงก์สำหรับดาวน์โหลดแอพฯ LINE Mobile iOS และ Android
แค่เริ่มต้นใช้งานก็ว้าว! กับ 2 ฟีเจอร์หลัก
หลังจาก Log in เข้าสู่ระบบเสร็จสมบูรณ์แล้ว ในหน้าแรกเราจะพบกับ 2 ฟีเจอร์สำคัญของแอพฯ คือ หน้า Dashboard (แดชบอร์ด) และหน้า Control (ควบคุม) โดยทั้งหมดจะเน้นการใช้งานรูปแบบ Self-Service คือให้ผู้ใช้งานสามรถจัดการทุกอย่างได้ตามความต้องการของตนเอง
หน้า Dashboard (แดชบอร์ด)
เป็นหน้าสำหรับแสดงข้อมูลต่างๆ เริ่มตั้งแต่ยอดค่าใช้จ่ายทั้งหมด รอบบิลถัดไปจะเริ่มวันที่เท่าไหร่ (เหลืออีกกี่วัน) นับรอบบิลที่ 30 วัน โดยถ้ากดเข้าไปดูรายละเอียดข้างในก็จะเห็นข้อมูลใบแจ้งหนี้และการชำระเงินของทุกรอบบิลที่เราเคยใช้ ซึ่งเราสามารถกดเข้าไปอีกเพื่อดาวน์โหลดหรือพิมพ์ออกมาได้ด้วย อีกทั้งยังสามารถชำระเงินจากในหน้าเมนูนี้ได้เลย รองรับทั้งบัตรเครดิต/เดบิต และ Rabbit LINE Pay
ถัดมาเป็นจำนวนนาทีสำหรับการโทรที่เหลือในแพ็กเกจ โดยเมื่อกดเข้าไปดูรายละเอียดข้างในจะเห็นข้อมูลสรุปการโทรของทุกเดือนที่เราใช้งาน ซึ่งละเอียดจนถึงขั้นที่ว่าวันไหนเราโทรไปหาเบอร์บ้าง โทรไปตอนกี่โมง ใช้เวลาโทรไปกี่นาที ทั้งยังมีการจำแนกประเภทของการโทรให้ด้วย คือ การโทรทุกประเภท การโทรภายในประเทศ การโทรไปต่างประเทศ และการโทรผ่านบริการโรมมิ่ง
ถัดมาอีกจะเป็นปริมาณดาต้าอินเตอร์เน็ตที่เหลืออยู่ในแพ็กเกจ ซึ่งเมื่อกดเข้าไปดูรายละเอียดข้างในก็จะเห็นข้อมูลคล้ายๆ กันกับจำนวนนาทีสำหรับการโทร เพราะมีความละเอียดที่บอกให้เราได้ทราบว่าวันไหนเราใช้ดาต้าไปเท่าไหร่ รวมทั้งการจำแนกประเภทของการใช้ คือ การใช้เน็ตทุกประเภท การใช้เน็ตความเร็วสูง การใช้เน็ตฟรีไม่จำกัด และการใช้เน็ตผ่านบริการโรมมิ่ง
และสุดท้ายในหน้าแดชบอร์ด คือข้อมูลของแพ็กเกจปัจจุบันที่เรากำลังใช้อยู่ แน่นอนว่าสามารถกดเข้าไปดูรายละเอียดแพ็กเกจอื่นๆ ทั้งหมด พร้อมกดเปลี่ยนได้ทันทีจากในหน้านี้ ซึ่งปัจจุบันแพ็กเกจที่มีให้เลือกใช้คือตั้งแต่ XS-XXL รวมทั้งหมด 6 แพ็กเกจ ส่วนราคาที่ปรากฏ ณ ตอนนี้ยังเป็นราคาช่วงเบต้าที่ลดถึง 75% ซึ่งถ้าเป็นราคาปกติคือเริ่มต้น 299 ไปจนถึง 1,099 บาท
หน้า Control (ควบคุม)
เป็นหน้าสำหรับตั้งค่าการใช้งานอื่นๆ ซึ่งถูกออกแบบให้สามารถใช้งานได้แบบง่ายที่สุด เพราะมีเพียงปุ่มเปิด-ปิดสลับการทำงานใน 2 ส่วนสำคัญคือ การควบคุมความเร็วเน็ต ที่สามารถเลือกได้ว่าจะใช้อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงสุดตามแพ็กเกจที่เรากำลังใช้ หรืออินเทอร์เน็ตความเร็ว 256 Kbps ฟรีแบบไม่จำกัดปริมาณ
อีกส่วนหนึ่งคือ การควบคุมค่าใช้จ่ายเกินแพ็กเกจ ที่สามารถตั้งลิมิตค่าใช้จ่ายเพื่อป้องกันการใช้เกินวงเงินไปได้แบบไม่ต้องกังวล ซึ่งเชื่อว่าส่วนใหญ่ก็น่าจะเลือกเปิดเพื่อไม่ให้เสียเงินเพิ่มกันอยู่แล้ว โดยหากมีการโทรเกินจำนวนนาทีในแพ็กเกจ จะถูกคิดค่าบริการนาทีละ 0.99 บาท แต่ทั้งนี้ในขณะนี้ยังจะไม่สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายจากบริการโรมมิ่งได้ (ไม่สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายหากใช้งานต่างประเทศได้)
ตามไปสำรวจฟีเจอร์รองอื่นๆ
นอกจาก 2 ฟีเจอร์พระเอกหลักของแอพฯ LINE Mobile ที่กล่าวไปแล้วนั้น ยังมีฟีเจอร์รองอื่นๆ ที่มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน โดยเข้าดูเมนูอื่นเพิ่มเติมได้โดยการกดไปที่บริเวณมุมบนซ้ายมือ ที่จะมีทั้งเมนูข้อมูลของเรา ที่เป็นชื่อ-นามสกุล อีเมล และที่อยู่สำหรับการจัดส่งเอกสาร เมนูค่าใช้จ่ายและแพ็จเกจ จะเหมือนกันกับในหน้าแดชบอร์ด เมนูชวนเพื่อน เมนูนี้น่าสนใจเพราะสามารถส่งลิ้งส่วนตัวเพื่อชวนเพื่อนมาใช้ LINE Mobile ได้ 5 คน โดยมีปุ่มแชร์ไปยัง LINE Messenger, Facebook, Email, SMS เป็นต้น
ถัดจากเมนูแพ็กเกจเราจะเห็นเมนูแพ็กเกจเสริม ซึ่งสามารถกดซื้อเพิ่มได้ทันทีในกรณีที่เราใช้งานแพ็กเกจหลักใกล้จะหมดหรือหมดลงไปแล้ว ปัจจุบันมีให้เลือกแบบเดียวคือเพิ่มปริมาณดาต้าอินเตอร์เน็ต 1 GB
เมนูบริการโทรต่างประเทศ ที่รอบรับการโทรไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลกกว่า 230 ประเทศ ซึ่งมีการบอกรายระเอียดไว้อย่างชัดเจนว่าโทรไปประเทศไหนราคาเท่าไหร่/นาที หรือจะส่ง SMS ระหว่างประเทศก็สามารถทำได้เช่นเดียวกันสำหรับประเทศที่รองรับ
สุดท้ายเป็นเมนูขอความช่วยเหลือ ซึ่งจะมีเมนูย่อยเพิ่มเติมคือ คำถามที่พบบ่อย ซึ่งอาจมีคำตอบที่เราสงสัยอยู่ในนั้นแล้ว การแชทคุยกับเจ้าที่ที่คอยให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง หรืออยากโทรคุยกับเจ้าหน้าที่ก็ทำได้ด้วยเช่นเดียวกัน อาจจะใช้เวลาในการรอสายไม่เกิน 3 นาที แต่จะโทรได้ในช่วงเวลาทำการคือ 9 โมงเช้า ถึง 6 โมงเย็นทุกวันไม่มีวันหยุด
สรุป
จากการยืนยันของ LINE Mobile ที่จะให้บริการในประเทศไทยได้บอกออกมาแล้วว่า จะเป็นการให้บริการผ่านเครือข่าย dtac TriNet (DTN) และไม่ใช่ MVNO เหมือนในประเทศญี่ปุ่น แต่ค่อนข้างมั่นใจได้ว่าเครือข่ายจะครอบคลุมและใช้งานได้ทั่วทั้งประเทศแน่นอน และในแง่ของการใช้งานนับว่าเป็นบริการที่มีความน่าสนใจอยู่สมควร เพราะเป็นบริการแบบ Self-Service จริงๆ คือผู้ใช้งานสามรถจัดการทุกอย่างได้ตามความต้องการของตนเองครบจบด้วยปลายนิ้ว เริ่มตั้งแต่การสมัครขอใช้บริการ การเลือกเบอร์ หรือแม้แต่การเลือกใช้อินเทอร์เน็ตได้ตามพฤติกรรมการใช้งาน เช่น ใช้แค่แชท ไลน์ ส่งข้อมูลอะไรเบาๆ ฯลฯ ก็ใช้อินเทอร์เน็ตแบบฟรีๆ ไม่อั้น ความเร็ว 256 Kbps ที่สำคัญ SMS ก็ใช้ได้ไม่อั้นเหมือนกันอีกด้วย
ทั้งนี้ เนื่องจากปัจจุบัน LINE Mobile ยังอยู่ในช่วง Close BETA ทางทีม LINE Mobile ก็แจ้งว่าอยู่ในช่วงทดสอบระบบ เพื่อเร่งพัฒนาและอัพเดทฟีเจอร์หรือฟังก์ชั่นต่างๆ ให้เข้ากับพฤติกรรมคนไทยมากที่สุด เพราะต้องการให้ผู้ใช้มีประสบการณ์กับ LINE Mobile ในเรื่องของ Simple และ Flexible นั่นเอง ซึ่งก็อาจจะมีฟีเจอร์เพิ่มเติมในอนาคต หรือแม่แต่เรื่องราคาแพ็กเกจค่าบริการต่างๆ ที่อาจมีการปรับเปลี่ยนก็เป็นได้